วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559
กฏหมายของแท็กซี่
สวัสดีครับ วันนี้เราจะบอกกฏหมายของแท็กซี่ให้ผู้อ่านได้รู้กันครับ
1. ห้ามไม่ให้ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารทุกคนโดยสารเว้นแต่ผู้โดยสารนั้นน่าจะก่อให้เกิด อันตรายแก่ตนหรือแก่คนโดยสารในกรณีที่ผู้ขับขี่รถแท็กซี่มีความประสงค์จะไม่รับผู้โดยสารโดยให้แสดง ป้ายงดรับจ้าง
2.ห้ามไม่ให้ผู้ขับขี่รถแท็กซี่รับผู้โดยสารเกินจำนวนที่ได้กำหนดไว้ในใบอนุญาตตามกฎหมาย
3.ห้ามไม่ให้ผู้ขับขี่รถแท็กซี่เรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่ปรากฏจากมาตรแท็กซี่
4.ผู้โดยสารต้องชำระค่าโดยสารตามอัตราที่ปรากฏจากมาตรแท็กซี่
5.ในขณะขับรถ ห้ามไม่ให้ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ สูบบุหรี่ เปิดวิทยุ หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ในลักษณะที่ก่อความรำคาญให้แก่คนโดยสาร
นี่คือตัวอย่างกฏหมายของแท็กซี่ให้ผู้อ่านได้รู้และเอาไปใช้
ที่มาข้อมูล http://www.trafficpolice.go.th/law14.php
วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559
วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559
ปัญหาของแท็กซี่
ที่มาภาพ http://news.mthai.com/app/uploads/2014/07/04.jpeg
วันนี้เราจะพาไปทราบถึงปัญหาที่ผู้โดยสารเจอนั่นคือ คนขับแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร โดยมุมมองจากคนขับแท็กซี่ว่าทำไม่คนขับแท็กซี่จึงปฏิเสธผู้โดยสาร วันนี้ผมจะบอกถึงสาเหตุว่า เป็นเพราะอะไรเขาจึงปฏิเสธ ซึ่งทุกคนเคยประสบปัญหานี้อยู่เสมอ ถึงแม้จะมีระเบียบจากกรมการขนส่งทางบกว่า รถแท็กซี่ทุกคันห้ามปฏิเสธผู้โดยสาร แต่ในทางปฏิบัติแล้ว มีการปฏิเสธผู้โดยสารอยู่ตลอดเวลาจนเหมือนเป็น เรื่องธรรมดา โดยคนขับมักจะให้เหตุผลว่า ต้องไปส่งกะ หรือ รถติด ซึ่งเหตุผล
เหล่านี้เป็น เหตุผล ที่ง่ายที่สุดที่จะหยิบยกขึ้นมาบอกให้ผู้โดยสารได้ทราบ แต่สาเหตุที่แท้จริงและลึกลงไปแล้วมี มากกว่าที่บอก
1.การส่งกะ เชื่อว่าส่วนหนึ่งต้องรีบไปส่งกะจริง การที่จอดรับผู้โดยสาร เพื่อดูว่าเป็นเส้นทาง เดียวกัน
หรือเปล่าถ้าใช่ก็เพิ่มรายได้อีก 1 เที่ยว ถ้าคนละเส้นทางก็จำเป็นต้องปฏิเสธ เพราะหากไป
ส่งกะช้าจะทำให้ถูกปรับค่าเช่าจากเจ้าของอู่อีกทั้งคู่กะก็เกิดความเสียหายจากการรอรับรถ
ส่งกะช้าจะทำให้ถูกปรับค่าเช่าจากเจ้าของอู่อีกทั้งคู่กะก็เกิดความเสียหายจากการรอรับรถ
2.รถติด ต้องยอมรับว่า สภาพการจราจรในกรุงเทพฯ ณ ปัจจุบันติดขัดตลอดเวลาอาจเป็น เพราะ
สภาพเศรษฐกิจ ของประชาชนดีขึ้น หรือ ราคาน้ำมัน เชื้อเพลิงถูกลงจึงทำให้มีการใช้รถยนต์มากขึ้นแต่อาชีพขับรถแท็กซี่เป็นอาชีพที่ต้องอยู่บนท้องถนนตลอด ระยะเวลาของการทำงาน ฉะนั้นรถติด
จึงถือเป็นเรื่องปกติของอาชีพนี้
แต่เหตุผลจริงๆ ที่คนขับต้องปฏิเสธผู้โดยสาร เกี่ยวข้องโดยตรงกับ ค่าโดยสาร เพราะปัจจุบัน
ค่าโดยสาร ไม่มีความเป็นธรรมสำหรับคนขับและมีค่าใช้จ่ายที่ต้องหักโดยประมาณในแต่ละวันคือ
ค่าโดยสาร ไม่มีความเป็นธรรมสำหรับคนขับและมีค่าใช้จ่ายที่ต้องหักโดยประมาณในแต่ละวันคือ
1.ค่าเช่า 550-600 บาท
2.ค่าแก๊ส NGV. 200.- บาท และมากขึ้นตามจำนวนเที่ยววิ่ง
3.ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ 120. บาท
4.ค่าล้างรถ 30.- บาท
จากจะเห็นว่า จะมีค่าใช้จ่ายแต่ละวันที่คนขับต้องจ่ายตายตัวอยู่ระหว่าง 900-950 บาท
หากวันนั้นมีรายได้ 1,200 บาท ก็จะเหลือเงินจริงๆ 250-300 บาท เท่านั้น ซึ่งในขณะนี้
รัฐบาลมีนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300.- บาท คนขับแท็กซี่ก็ถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์แล้ว แต่จำนวน
ชั่วโมงทำงานแต่ละคนประมาณ 12 ชั่วโมง และมีความเสี่ยงสูงหลายด้าน โดยเฉพาะด้านความ
ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งเรื่องอุบัติเหตุ เรื่องอาชญากรรม จี้ ปล้นจึงเป็นเหตุให้คนขับแท็กซี่ต้องปฏิเสธผู้โดยสาร
ที่มาข้อมูล http://suvarnabhumitaxi.co.th/Columnis.html
หากวันนั้นมีรายได้ 1,200 บาท ก็จะเหลือเงินจริงๆ 250-300 บาท เท่านั้น ซึ่งในขณะนี้
รัฐบาลมีนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300.- บาท คนขับแท็กซี่ก็ถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์แล้ว แต่จำนวน
ชั่วโมงทำงานแต่ละคนประมาณ 12 ชั่วโมง และมีความเสี่ยงสูงหลายด้าน โดยเฉพาะด้านความ
ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งเรื่องอุบัติเหตุ เรื่องอาชญากรรม จี้ ปล้นจึงเป็นเหตุให้คนขับแท็กซี่ต้องปฏิเสธผู้โดยสาร
ที่มาข้อมูล http://suvarnabhumitaxi.co.th/Columnis.html
วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2559
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559
ราคาค่าโดยสารรถแท็กซี่ไทยกับต่างประเทศ
สวัสดีครับ วันนี้เราจะอธิบายความแตกต่างของค่ารถโดยสารของแท็กซี่ไทยกับต่างประเทศให้
ผู้อ่านทุกท่านได้ทราบกัน โดยเริ่มจาก
TAXI ไทย
ที่มาภาพ http://www.thaicalltaxi.com/BangkokMeterTaxi.jpg
การคิดอัตราค่าโดยสารจะคิดตามมิเตอร์ โดยเริ่มต้นที่ 35 บาท ระยะ 1-10 กม. กม.ละ 5.50 บาท ระยะ 10-20 กม. กม.ละ 6.50 บาท ระยะ 20-40 กม. กม.ละ 7.50 บาท ระยะ 40-60 กม. กม.ละ 8.00 บาท ระยะ 60-80 กม. กม.ละ 9.00 บาท และเกินกว่า 80 กม. กม.ละ 10.50 บาท ส่วนรถติดคิดนาทีละ 2 บาท นอกจากนี้ เมื่อโทรจ้างผ่านศูนย์บริการสื่อสารเก็บค่าบริการเพิ่ม 20 บาท ขณะที่เรียกจากจุดจอดรถในสนามบินเก็บค่าบริการเพิ่ม 50 บาทเช่นกัน
TAXI สิงคโปร์

ที่มาภาพ http://www.singaporeholidaytour.com/userfiles/image/images/taxino214e.jpg
แท็กซี่สิงคโปร์มี 3 แบบ คือ แบบทั่วไป แบบลีมูซีน และแบบไครส์เลอร์ โดยถ้าเป็นแบบทั่วไป ราคาจะเริ่มต้นที่ $3.00- $3.40 แบบลีมูซีน $3.90 ส่วนแบบไครส์เลอร์ $5.00 และแท็กซี่สิงคโปร์จะคิดค่าบริการเพิ่มในช่วงโมงเร่งด่วนอีกด้วย โดยในวันจันทร์ - ศุกร์ 6.00-9:30 น. ค่าบริการเพิ่ม 25% ของค่าโดยสาร ส่วนวันจันทร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 18.00-24.00 น. ค่าบริการเพิ่ม 25% ของค่าโดยสาร
ผู้อ่านทุกท่านได้ทราบกัน โดยเริ่มจาก
TAXI ไทย
ที่มาภาพ http://www.thaicalltaxi.com/BangkokMeterTaxi.jpg
การคิดอัตราค่าโดยสารจะคิดตามมิเตอร์ โดยเริ่มต้นที่ 35 บาท ระยะ 1-10 กม. กม.ละ 5.50 บาท ระยะ 10-20 กม. กม.ละ 6.50 บาท ระยะ 20-40 กม. กม.ละ 7.50 บาท ระยะ 40-60 กม. กม.ละ 8.00 บาท ระยะ 60-80 กม. กม.ละ 9.00 บาท และเกินกว่า 80 กม. กม.ละ 10.50 บาท ส่วนรถติดคิดนาทีละ 2 บาท นอกจากนี้ เมื่อโทรจ้างผ่านศูนย์บริการสื่อสารเก็บค่าบริการเพิ่ม 20 บาท ขณะที่เรียกจากจุดจอดรถในสนามบินเก็บค่าบริการเพิ่ม 50 บาทเช่นกัน
TAXI สิงคโปร์

ที่มาภาพ http://www.singaporeholidaytour.com/userfiles/image/images/taxino214e.jpg
แท็กซี่สิงคโปร์มี 3 แบบ คือ แบบทั่วไป แบบลีมูซีน และแบบไครส์เลอร์ โดยถ้าเป็นแบบทั่วไป ราคาจะเริ่มต้นที่ $3.00- $3.40 แบบลีมูซีน $3.90 ส่วนแบบไครส์เลอร์ $5.00 และแท็กซี่สิงคโปร์จะคิดค่าบริการเพิ่มในช่วงโมงเร่งด่วนอีกด้วย โดยในวันจันทร์ - ศุกร์ 6.00-9:30 น. ค่าบริการเพิ่ม 25% ของค่าโดยสาร ส่วนวันจันทร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 18.00-24.00 น. ค่าบริการเพิ่ม 25% ของค่าโดยสาร
นอกจากนี้ หากไปขึ้นย่านธุรกิจในช่วงเวลา 17.00-24.00 น. จะต้องเสียค่าบริการเพิ่ม $3.00 และยังมีค่า Electronic Road Pricing (ERP) คล้ายกับทางด่วนบ้านเรา เมื่อรถขับผ่านจะคิดเพิ่มอัตโนมัติไปพร้อมกับค่ามิเตอร์ทันที
TAXI ญี่ปุ่น

การคิดอัตราค่าโดยสารนั้นจะเหมือนกับไทย คือ เป็นการคิดตามมิเตอร์ ราคาจะเริ่มต้นที่ 650 เยน ทุกๆ 1 นาที จะเพิ่มขึ้น 80 เยน อีกทั้ง ในช่วงเวลากลางคืนตั้งแต่เวลาประมาณ 22.00 - 5.00 น. ค่าโดยสารจะแพงขึ้นอีก 30% ส่วนการจ่ายเงินสามารถจ่ายได้ทั้งบัตรเครดิต เดบิต หรือเงินสดก็ได้
TAXI พม่า

แท็กซี่พม่าจะไม่มีมิเตอร์ ต้องใช้การตกลงกันกับคนขับว่าไปที่ไหนราคาเท่าไหร่ โดยอย่างน้อยราคาอยู่ที่ 1,500 จ๊าด (ประมาณ 47 บาท) และเพิ่มขึ้นตามระยะทาง
TAXI จีน
ที่มาภาพ https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKrVCtmzGcLudGxBVpUmD0Y8VnlW8Z0d9CFg7Rw9Mfe-nLd_UH10bdC_81E0BcZ9vV_Hj3go8ZWW22KHwbvtrqSYMNDdB3wYCn3w_UQv0taoPlfNXlvVIKF2bIWQOyqNKlqL2qoV0-qGE/s1600/Xian_Morning_Walk_Taxi_License_Plates.JPG
ค่าแท็กซี่ในประเทศจีน แต่ละเมืองจะไม่เหมือนกัน ปักกิ่ง เริ่มต้นที่ 13 หยวน (ประมาณ 69 บาท) สำหรับ 3 กม.แรก หลังจากนั้น กม.ละ 2.3 หยวน (ประมาณ 12 บาท) หากเป็นช่วงกลางคืนตั้งแต่ 23.00-5.00 น. เริ่มต้นที่ 14.4 หยวน (ประมาณ 76 บาท) สำหรับ 3 กม.แรก 3-15 กม. กม.ละ 2.76 หยวน (ประมาณ 14 บาท) หลังจาก 15 กม. กม.ละ 4.14 หยวน (ประมาณ 22 บาท)
นี่ก็เป็นบางส่วนของค่าโดยสารของรถแท็กซี่ไทยและของต่างประเทศ ครั้งหน้าจะเป็นการสัมภาษณ์ในเรื่อง ความเสี่ยงในการขับตอนกลางคืน อย่าลืมติดตามกันต่อครับ
ที่มาข้อมูล http://www.thairath.co.th/content/478314
วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559
วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559
ประวัติแท็กซี่
ที่มาภาพ http://news.mthai.com/app/uploads/2014/07/04.jpeg
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน วันนี้เราจะเล่าถึงประวัติของแท็กซี่ให้ผู้อ่านได้รู้ว่าแท็กซี่เริ่มขึ้นเมื่อใดและในประเทศไทยมีแท็กซี่ครั้งแรกเมื่อใด
แท็กซี่ เป็นคำย่อมาจาก แท็กซี่ แค็บ (Taxicab) โดยย่อมาจากคำว่า แท็กซี่มิเตอร์ แค็บ (Taximeter cab) และคำว่า taxi เป็นรากศัพท์ภาษาละตินในยุคกลาง ซึ่งมาจาก คำว่า taxa ที่หมายถึง ภาษีหรือการคิดเงิน และคำว่า meter มาจากภาษากรีกคำว่า metron แปลว่า วัดระยะทาง
ครั้งแรกของโลก
เริ่มมีมาเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนในอาณาจักรโรมัน เป็นรถม้า และเมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายลง เทคโนโลยีแท็กซี่ที่ใช้มิเตอร์ก็หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์นานกว่าพันปี จนถึงต้นศตวรรษที่ 17 มีการใช้รถม้ารับจ้างในการให้บริการในปารีสและลอนดอน จนในศตวรรษที่ 19 รถม้าเริ่มขนาดใหญ่ขึ้นและมีความเร็วรวมถึงความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารมากขึ้น แต่ยังใช้ม้าลาก ซึ่งเรียกว่า รถแฮนซัม แค็บ (Hansom cabs)
หลังจากนั้น เริ่มมียานพาหนะที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ทั้งใน ปารีส ลอนดอนและนิวยอร์ก ในลอนดอนเรียกรถรับจ้างประเภทนี้ว่า ฮัมมิ่งเบิร์ดแต่ผู้ที่ริเริ่มแท็กซี่คือ วิลเฮล์ม บรุห์น (Wilhelm Bruhn) ชาวเยอรมันที่คิดค่าโดยสารแบบแท็กซี่มิเตอร์
ในประเทศไทย
ในประเทศไทย เริ่มมีแท็กซี่ให้บริการเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2466 พระยาเทพหัสดิน ณ อยุธยา (ผาด) ร่วมกับพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ เป็นผู้คิดริเริ่มให้บริการแท็กซี่ในเมืองไทยโดยใช้รถยนต์ออสตินขนาดเล็ก ติดป้ายรับจ้างไว้หน้าและหลังรถ ชาวเมืองสมัยนั้นเรียกรถแท็กซี่ว่า “รถไมล์” เพราะคิดค่าบริการตามระยะไมล์ ไมล์ละ 15 สตางค์ แต่ประสบปัญหาขาดทุน จึงต้องล้มเลิกกิจการไป จนกระทั่ง พ.ศ. 2490 เจ้าของธุรกิจเอกชนบางรายได้มีเริ่มการฟื้นฟูกิจการแท็กซี่ในประเทศไทยขึ้นมาใหม่
และนี้คือประวัติของแท็กซี่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันให้ผู้อ่านได้อ่านกัน ครั้งหน้าจะเป็นการสัมภาษณ์เกี่ยวรายได้ของแท็กซี่ในช่วงกลางคืนให้ผู้อ่านได้รู้กัน
ที่มาข้อมูล
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%88
http://www.oknation.net/blog/darkpin/2007/07/23/entry-1
วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559
วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
แนะนำบล็อก

ที่มาภาพ http://www.energysavingmedia.com/news/images/detail/3b453f68.jpg
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่บล็อกเกี่ยวกับอาชีพคนขับรถแท็กซี่ตอนกลางคืน ซึ่งบล็อกนี่จะเล่าเกี่ยวกับการทำงานของคนขับรถแท็กซี่ตอนกลางคืนว่าทำงานกี่ชั่วโมง มีรายได้มากกว่าหรือน้อยกว่าตอนกลางวัน ถนนที่คนใช้บริการแท็กซี่มาก ปัญหาของคนขับแท็กซี่และข้อดี ข้อเสียของการขับแท็กซี่ตอนกลางคืน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)